Haijai.com


การดึงยกหน้าด้วยไหมก้างเกี่ยวผิว


 
เปิดอ่าน 1645

การดึงยกหน้าด้วยไหมก้างเกี่ยวผิวตัวใหม่ล่าสุดในเกาหลี

 

 

เมื่อช่วงสงกรานที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปบรรยาย และสอนเรื่องการฉีดฟิลเลอร์ และร้อยไหมให้แพทย์เกาหลีที่เป็นสมาชิกของสมาคมพอดีมีการนำเสนอไหมตัวใหม่ออกมา และผมก็ได้รับเชิญเข้าร่วม workshop ด้วย เป็นไหมแบบมีก้างเกี่ยวผิว หรือที่เรียกว่า Barbed Thread น่าสนใจครับ เพราะไหมแบบนี้ได้แก้ไขข้อบกพร่องของไหมก้าง ไหมกรวย หรือไหมสปริง ที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบันได้ดี ลองมาดูกันครับว่าดีกว่าอย่างไร

 

 

ปัญหาของการร้อยไหมยกกระชับในปัจจุบัน

 

กว่า 2 ปี หลังจากกระแสการร้อยไหมยกกระชับเกาหลี ซึ่งเป็นไหมเรียบไม่มีแง่ง ได้รับความนิยอย่างสูงในเมืองไทย ก็เริ่มมีไหมรูปแบบต่างๆ ออกมาสู่ตลาดมากขึ้น มีชื่อเรียกต่างๆ กัน มีการนำไหมรูปแบบเก่าโดยเฉพาะไหมก้าง ไหมกรวย ไหมสปริง มาปรับใช้ใหม่ สาธารณะชนส่วนใหญ่ยังสับสนและไม่เข้าใจความแตกต่างของไหมแบบไม่มีก้าง กับไหมมีก้าง

 

 

ไหมที่ไม่มีก้าง เป็นไหมเส้นเรียบ มีต้นกำเนิดจากเกาหลี เราเลยเรียกกันติดปากว่าไหมละลายเกาหลี เพราะทำจากวัสดุ PDO ซึ่งสลายตัวหลุดได้เอง ปัญหาของไหมชนิดนี้คือเห็นผลช้า แต่การรักษาทำได้ง่าย ไม่ต้องใช้ความชำนาญมาก แต่หากทำไม่ดีก็จะไม่เห็นผลเลย แพทย์บางกลุ่มไม่ได้ศึกษาเรียนรู้จริงจัง ให้การรักษาด้วยไหมแบบนี้แล้วไม่ได้ผล ก็เลยหันไปทำไหมชนิดมีก้างแทน ซึ่งบางชนิดก็ทำจากวัสดุที่สลายตัวได้ แต่บางชนิดก็ไม่สลายตัว ไหมชนิดมีก้าง หรือมีกรวย ไว้เกี่ยวผิว อาจเป็นเส้นเดี่ยว หรือบิดเป็นแบบสปริง ไหมกลุ่มนี้ช่วยยกผิวได้ดีตั้งแต่วันแรกที่รักษา แต่ปัญหาคือหน้าคนไข้จะบวมมาก และดูผิดรูปอยู่นาน บางรายกว่าใบหน้าจะกลับมาเป็นปกติอาจนานถึง 4 สัปดาหืทีเดียว ไหมกลุ่มนี้มีมานานกว่า 10 ปีแล้ว มีต้นกำเนิดที่ยุโรป ส่วนใหญ่ทำโดยศัลยแพทย์ แต่พอไหมเกาหลีดัง ก็เริ่มนำกลับมาใช้ใหม่ อย่างที่บอกคือ ไหมประเภทนี้จะได้ผลดีช่วงแรก แต่พอเลย 3 เดือน การดึงยกจะเริ่มไม่ดี แง่งที่เกี่ยวผิวมักหลุดออก และเสียแรงดึงของเส้นไหมที่เรียก Tensile strength ทำให้การยกกระชับอยู่ได้ม่นานเหมือนที่อวดอ้วงกัน

 

 

พัฒนาการใหม่ของหมชนิดมีก้างเกี่ยวผิว

 

ไหมชนิดใหม่ของเกาหลีที่ผมได้มีโอกาสได้ร่วม work shop ในครั้งนี้ ถือเป็นรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ ทำจากวัสดุ PDO สลายตัวตามธรรมชาติโดยพยายามแก้ปัญหาที่พบในไหมเกี่ยวผิวชนิดอื่นๆ อันดับแรกเลยคือ การสอดไหมจะใช้เข็มปลายทู่เป็นตัวนำ เข็มปลายทู่ หรือ Cannula ก็เหมือนกับที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์นั้นเอง ทำให้หลังการรักษาไม่บวม ไม่บอบช้ำมาก คนไข้ไม่ต้องพักฟื้นนานเหมือนไหมแบบอื่นๆ และการแก้ปัญหากรสูญเสียแรงดึง (Tensile Strength) ของเส้นไหมหลังการรักษา ทำได้โดยปรับรูปแบบแง่งเกี่ยวผิว ให้เป็นแบบ spiral หรือ แง่งที่เรียงแถววนเป็นเกลียว ทำให้เส้นไหมยึดเนื้อเยื่อได้รอบทิศทาง และไม่หลุดง่าย

 

 

ผลลัพธ์ที่ได้จากการรักษา

 

ไหมชนิดนี้ เหมาะกับผู้ที่มีหน้าใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่มีไขมันใต้ผิวมาก และมีการหย่อนมากหรือกลุ่มที่เรียกว่า Heavy Bottom Face หลังการรักษาจะพบว่าใบหน้าบริเวณที่ต้องการแก้ไข จะยกกระชับขึ้นทันที ทั้งนี้สามารถนำมาใช้ปรับแต่งให้รูปหน้าเป็น V shape ได้ด้วย แพทย์สามารถปรับการยกดึงให้ มาก-น้อย ตามต้องการด้วย แต่หากปรับดึงให้ไหมตึงมาก ใบหน้าอาจจะดูหลอกตา และดูไม่เป็นธรรมชาติได้ในช่วงแรก กว่าเนื้อเยื่อผิวหน้าจะปรับตัวให้เข้ารูปใหม่อาจกินเวลานาน 2-3 สัปดาห์ และผลการรักษาคงอยู่ได้นาน ปีครึ่ง – 3 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะผิวของแต่ละบุคคล

 

 

ข้อจำกัดของการรักษา

 

ถึงแม้ว่าไหมชนิดนี้จะแก้ไขปัญหาที่พบจากการร้อยไหมเกี่ยวผิวแบบอื่นได้ เช่น บวมน้อยกว่า เขียวน้อยกว่า แต่ถึงอย่างไร คนไข้ก็ยังต้องมีการพักฟื้นอยู่ดี นั่นคือ ต้องพักหน้าอย่างน้อย 5-7 วัน ช่วงแรกของการรักษาใบหน้าอาจดูไม่เป็นธรรมชาติ จนกว่าผิวหน้าจะยุบบวม และเข้าที่ ดังนั้นคนไข้ที่หยุดพักฟื้นไม่ได้เลย การร้อยไหมเกาหลี แบบเส้นเรียบน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า และหากคนไข้มีปัญหาเรื่องการยุบตัวของผิว การฉีดฟิลเลอร์ก็ยังมีความจำเป็น สำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าด้วยนั้น การฉีดฟิลเลอร์ร่วมด้วย จะช่วยให้ใบหน้าเข้ารูป และดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นและทำให้ผลการรักษาอยู่ได้นานขึ้นด้วย

 

 

นพ.พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ

ผู้อำนวยการนานาชาติ แสมาคมแพทย์เกาหลี

ผู้อำนวยการ AIC ศูนย์นวัตกรรมความงามกรุงเทพ

(Some images used under license from Shutterstock.com.)